ระบบสารสนเทศ
ความหมาย
1.ระบบ
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน
พ.ศ 2542 ได้ให้นิยามไว้ว่า ระบบ หมายถึง
กลุ่มของสิ่งซึ่งมีลักษณะประสานเข้าเป็นสิ่งเดียวกัน
ตามหลักแห่งความสัมพันธ์ที่สอดคล้องกันด้วยระเบียบของธรรมชาติหรือหลักเหตุผลทางวิชาการ
เช่น รบบประสาท ระบบทางเดินอาหาร ระบบจักรวาล ระบบสังคม ระบบการบริหารประเทศ
Stair and
Reynolds ได้ให้นิยามไว้ว่า ระบบหมายถึง
ชุดของส่วนประกอบหรือส่วนย่อยซึ่งมีปฏิสัมพันธ์กันเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้
อีกทั้งใช้กำหนดวิธีการทำงานของระบบในส่วนของรับเข้า(Input)ประมวลผล
(Processing) ส่งออก (Output)รวมทั้งผลป้อนกลับ
(Feedback)
2. ระบบสารสนเทศ
Hall (2004, p.7) ให้นิยามไว้ว่า ระบบสารสนเทศ หมายถึง
เซตหรือการรวมตัวของกระบวนการหลายกระบวนการ สำหรับงานด้านการเก็บรวบรวมข้อมูล การประมวลผลเพื่อปรับรูปแบบของข้อมูลให้เข้าสู่รูปแบบของสารสนเทศ
ตลอดจนการกระจายสารสนเทศที่เป็นผลลัพธ์จากการประมวลผลสู่ผู้ใช้
Stair and Reynolds (2006,
p. 17)ให้นิยามไว้ว่า ระบบสารสนเทศที่ใช้คอมพิวเตอร์ประมวลผล
ประกอบด้วยชุดของฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ ฐานข้อมูล โทรคมนาคม บุคลากรและกระบวนการ
ที่มีการรวมตัวกันเพื่อการเก็บรวบรวม การจัดการ
การจัดเก็บตลอดจนการประมวลผลข้อมูลให้เข้าสู่รูปแบบของสารสนเทศ
แบบจำลองระบบสารสนเทศ
Hall (2004, p. 7)ได้กำหนดแบบจำลองระบบสารสนเทศที่ประกอบด้วยส่วนย่อยของแบบจำลองระบบสารสนเทศ
7 ส่วนดังนี้
1.ผู้ใช้ขั้นปลาย คือ ผู้ใช้สารสนเทศที่อยู่ภายในหน่วยงานต่างๆ
ทั้งภายในและภายนอกธุรกิจ
ซึ่งความต้องการใช้สารสนเทศที่เป็นผลลัพธ์จากการประมวลผลของระบบสารสนเทศประกอบด้วยผู้ใช้
2 กลุ่มคือ กลุ่มที่
1 ผู้ใช้ภายนอก คือ ผู้ใช้ที่ประกอบ เจ้าหนี้เงินกู้ ผู้ถือหุ้น
นักลงทุน ตัวแทนหรือนายหน้าเจ้าหน้าที่ภาษีอากร ผู้ขายและลูกค้า
ตลอดจนผู้ใช้ประเภทสถาบันการเงิน
กลุ่มที่ 2 ผู้ใช้ภายใน คือ
ผู้บริหารระดับต่าง ๆ ขององค์การ ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมดูแลการปฏิบัติการด้านต่างๆ
โดยมุ่งเน้นถึงความต้องการสารสนเทศของผู้ใช้แต่ละรายเป็นสำคัญ
2. ต้นทางข้อมูลหรือแหล่งข้อมูล คือ
ธุรกรรมทางเงินที่นำเข้าสู่ระบบสารสนเทศประกอบด้วยข้อมูล 2 ส่วนดังนี้
ส่วนที่
1 ต้นทางข้อมูลภายนอก คือ
ธุรกรรมทางการเงินที่ได้รับจากภายนอกธุรกิจ รวมทั้งข้อมูลการแลกเปลี่ยนทางการค้ากับหน่วยธุรกิจที่อยู่ในรูปแบบองค์การหรือธุรกิจส่วนตัว
ส่วนที่
2 ต้นทางข้อมูลภายใน คือ
ธุรกรรมทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับการแลกเปลี่ยน
หรือความเคลื่อนไหวของทรัพยากรภายในองค์การ
3.การรวบรวมข้อมูล เป็นขั้นตอนแรก ที่มีความสำคัญที่สุดของการดำเนินการภายในระบบสารสนเทศ
โดยเน้นวัตถุประสงค์ด้านการรับข้อมูลหรือเหตุการณ์ต่าง ๆ
ให้เข้าสู่ระบบอย่างถูกต้อง สมเหตุสมผล ครบถ้วนสมบูรณ์ และปราศจากข้อผิดพลาดใดๆ
ทั้งสิ้น โดยมีการสร้างระบบป้องกันความผิดพลาดจากการรับข้อมูลเข้า
ส่งผลให้รายงานที่เป็นผลลัพธ์มีความน่าเชื่อถือและนำไปใช้ประกอบการตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง
4. การประมวลผลข้อมูล หลังจากที่ทำการรวบรวมข้อมูลเสร็จสิ้นแล้วต้องทำการประมวลผลข้อมูลในรูปแบบที่ง่ายและรูปแบบที่มีความซับซ้อน
โดยจำแนกการประมวลได้ 2 รูปแบดังนี้
รูปแบบที่
1 การประมวลผลแบบกลุ่ม(Batch Processing)โดยเก็บรวบรวมเอกสารหรือรายการค้าเป็นกลุ่มก้อนภายในระยะเวลาที่กำหนดหลังจากนั้นจึงรับข้อมูลเข้าและปรับยอดแฟ้มข้อมูลให้เป็นปัจจุบัน
มักใช้วิธีการประมวลผลข้อมูลแบบนี้กับรายการที่ไม่จำเป็นต้องปรับปรุงข้อมูลทันที
รูปแบบที่
2 การประมวลผลแบบทันที(Real-time Processing)โดยมีการรับข้อมูลเข้าในทันทีและทำการประมวลผลข้อมูลทันทีในทุกครั้งที่มีรายการค้าเกิดขึ้น
ในบางครั้งอาจจะมีการประมวลผลออนไลน์เพื่อช่วยให้ข้อมูลที่ถูกจัดเก็บเป็นปัจจุบันอยู่เสมอ
5. การจัดการฐานข้อมูล คือ หน่วยเก็บข้อมูลทางกายภาพสำหรับข้อมูลที่มีความเกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวข้องกับการเงิน
อาจถูกจัดเก็บข้อมูลภายในตู้เอกสารหรือในแผ่นจานแม่เหล็ก
ส่วนข้อมูลที่ถูกจัดเก็บในฐานข้อมูล
ประกอบด้วยหน่วยเก็บข้อมูลที่เรียงลำดับจากหน่วยเล็กที่สุดไปหาหน่วยใหญ่ที่สุด คือ
ลักษณะประจำ ระเบียน และแฟ้มข้อมูล
ในส่วนการจัดการฐานข้อมูลจะเกี่ยวข้องกับงานด้านพื้นฐาน 3 งาน
คือ การจัดเก็บ การค้นคืน และการลบ
ข้อมูลในส่วนของการจัดเก็บจะเกี่ยวข้องกับการสร้างกุญแจของข้อมูลใหม่
และจัดเก็บข้อมูลนั้นในตำแหน่งพื้นที่ซึ่งมีความเหมาะสม
6. การก่อกำเนิดสารสนเทศการก่อกำเนิดสารสนเทศ (Information Generation) ประกอบด้วยกระบวนการแปลโปรแกรม การจัดข้อมูล การกำหนดรูปแบบ
รวมทั้งการนำเสนอสารสนเทศต่อผู้ใช้
โดยสารสนเทศที่ได้มักอยู่ในรูปแบบของเอกสารปฏิบัติงาน
7. ผลป้อนกลับ (Feedback) จะอยู่ในรูปแบบของรายงานที่เป็นผลลัพธ์ในฐานะต้นทางของข้อมูลภายในหรือภายนอกก็ได้
อาจถูกนำไปใช้ในฐานะข้อมูลเริ่มต้นหรือข้อมูลสำหรับการปรับเปลี่ยนกระบวนการ
อนึ่ง
หากส่วนประกอบทั้ง 7 ส่วน มีการรวมตัวกันอย่างเหมาะสมจะสนองตอบวัตถุประสงค์ของระบบสารสนเทศได้
3 ประการดังนี้
ประการที่
1 การสนับสนุนหน้าที่งานด้านการจัดการ
ประการที่
2 การสนับสนุนหน้าที่งานด้านการตัดสินใจ
ประการที่
3 การสนับสนุนหน้าที่งานด้านการปฏิบัติการ
บทบาทของระบบสารสนเทศ
1.โซ่คุณค่า
บางตำราอาจเรียกว่าลูกโซ่มูลค่า
ห่วงโซ่แห่งคุณค่า อาจเลือกใช้คำได้อย่างหลากหลาย
Porter (as quoted in Stair
& Reynolds, 2006, p.49) กล่าวไว้ว่า
การดำเนินงานทางธุรกิจปัจจุบัน
องค์การจะต้องนำเสนอคุณค่าแก่ลูกค้าขององค์การโดยการเพิ่มคุณค่าองสินค้าหรืบริการ
ซึ่งพร้อมส่งมอบให้ลูกค้าผ่านการดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจต่างๆ ภายใต้โซ่คุณค่าขององค์การเพื่อสร้างความพึงพอใจในการใช้สินค้าหรือบริการ
โซ่คุณค่าประกอบด้วยกิจกรรมหลักของการจัดการต้นทาง
การผลิต และการจัดการตามทาง ในส่วนของการผลิตสินค้าและบริการ
โดยรวมกิจกรรมหลักทั้ง 3ส่วน มีการทำงานที่สัมพันธ์กันและมุ่งเน้นถึงการเพิ่มคุณค่าหรือความพึงพอใจให้กับลูกค้าในรูปแบบของราคาที่ต่ำ
การบริการหลังการขายที่ดี คุณภาพที่สูง
รวมทั้งความเป็นเอกลักษณ์ของสินค้าหรือบริการมีรายละเอียดดังนี้
1.1 การจัดการต้นทาง
จะเกี่ยวข้องกับการจัดการวัตถุดิบในส่วนของการจัดหาวัตถุดิบ
การติดตามรอยวัตถุดิบในส่วนของโลจิสติกส์ขาเข้า
รวมทั้งการจัดเก็บและควบคุมวัตถุดิบภายในโกดังสินค้าโดยใช้ระบบสารสนเทศด้านการจัดหาวัตถุดิบ
การติดตามรอยวัตถุดิบ และการควบคุมวัตถุดิบคงเหลือ
1.2 การผลิต สำหรับการแปรสภาพวัตถุดิบให้เป็นสินค้าหรือบริการขั้นสุดท้าย
มีการนำวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนการผลิตต่างๆ มาประกอบกันเป็นสินค้าสำเร็จรูป
1.3 การจัดการตามทาง
สำหรับการจัดการตามทิศทางการไหลของสินค้าสำเร็จรูปจนถึงปลายทางของการส่งมอบให้ลูกค้าที่มีความเกี่ยวข้องกับหน่วยเก็บสินค้าสำเร็จรูป
โลจิสติกส์ขาเข้า การตลาดและการขาย ตลอดจนงานด้านการบริการลูกค้า มีการใช้ระบบสารสนเทศด้านหน่วยเก็บและค้นคืนสินค้าอัตโนมัติ
ด้านวางแผนกระจายสินค้า ด้านวางแผนกรส่งเสริมการขาย
รวมทั้งด้านการติดตามรอยและการควบคุมงานบริการลูกค้า
2.ระบบคุณค่า
ระบบคุณค่า
จะเป็นการเชื่อมโยงกิจกรรมภายใต้โซ่คุณค่า ทั้งภายในและภายนอกองค์การ ภายใต้รูปแบบโซ่อุปทานโดยการใช้ระบบสารสนเทศเป็นเครื่องมือเชื่อมต่อโซ่คุณค่าขององค์การกับโซ่คุณค่าขององค์การภายนอก
ซึ่งเป็นคู่ค้าเข้าด้วยกัน
มักอาศัยการดำเนินการงานด้านการจัดการโซ่อุปทานการจัดการลูกค้าสัมพันธ์เข้าช่วย
ทั้งมุ่งเน้นการบรรลุเป้าหมายของการดำเนินกิจกรรมต่างๆ
3. การสนับสนุนงานขององค์การต่างๆ
O brien (2006, p.8)
กล่าวถึงบทบาทของระบบสรสนเทศในส่วนการใช้เพื่อสนับสนุนการทำงานขององค์การภายใต้โซ่คุณค่าและระบบคุณค่า
3 ลักษณะดังนี้
3.1 การสนับสนุนกระบวนการทางธุรกิจ
3.2 การสนับสนุนการตัดสินใจ
3.3 การสนับสนุนความได้เปรียบเชิงการแข่งขัน
4. การเพิ่มมูลค่าให้องค์การ
ระยะที่ 1 การลดต้นทุนและการเพิ่มประสิทธิผล
ในระยะนี้องค์การได้มุ่งเน้นการนำสารสนเทศที่ได้รับจากระบบประยุกต์ด้านต่างๆ
มาเป็นข้อมูลเพื่อพัฒนางานหรือปรับปรุงการทำงาน
ระยะที่ 2 การสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน
ระบบสารสนเทศถูกนำมาใช้เพื่อสร้างความได้เปรียบเชิงการแข่งขันที่จะช่วยสร้างผลประโยชน์ในระยะยาวขององค์การที่เหนือกว่าคู่แข่งขัน
ทั้งนี้ต้องอาศัยกลยุทธ์ทางธุรกิจมาช่วยเสริม
ระยะที่ 3 การจัดการเชิงผลการปฏิบัติงานในระยะนี้นอกจากจะมุ่งเน้นการใช้ระบบสารสนเทศเพื่อการลดต้นทุน
และการสร้างความได้เปรียบเชิงการแข่งขันแล้ว
ยังมีการใช้สารสนเทศร่วมกับมาตรการวัดผลการปฏิบัติงานเพื่อสร้างตัวชี้วัดประสิทธิผล
วิวัฒนาการของระบบสารสนเทศ
การใช้ระบบสารสนเทศในเริ่มแรกของธุรกิจจะเป็นการใช้ระบบสารสนเทศเพื่อช่วยสนับสนุนการทำงานประจำที่ซ้ำๆ
ภายใต้ธุรกรรมจำนวนมาก ของแต่ละวันทำการมีการใช้ระบบประยุกต์คอมพิวเตอร์
ในรูปแบบของระบบประมวลผลธุรกรรม เพื่อสรุปและจัดโครงสร้างธุรกรรม
รวมทั้งข้อมูลทางการบัญชี การเงินและการบริหารทรัพยากรมนุษย์
ที่ส่งผลให้องค์การมีต้นทุนการประมวลผลธุรกรรมต่อหน่วยลดลง
อีกทั้งความสามารถในการปฏิบัติงานเป็นไปอย่างรวดเร็วขึ้นในเวลาต่อมาองค์การได้พัฒนาระบบสารสนเทศในรูปแบบของระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ
โดยมีการใช้ระบบเพื่อเข้าถึง จัดโครงสร้าง
สรุปแสดงผลสารสนเทศที่มีส่วนช่วยในการสนับสนุนการตัดสินใจประจำวันภายใต้การทำงานของแผนกงานตามหน้าที่
ยังมีการพัฒนาระบบการสำนักงานอัตโนมัติ ประกอบด้วยระบบการประมวลผล
นำมาใช้เพื่อสนับสนุนการทำงานในสำนักงาน
ต่อมาได้มีการขยายขีดความสามารถของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์
มีการลดต้นทุนของระบบคอมพิวเตอร์ มีการพัฒนาระบบประยุกต์
เพื่อสนับสนุนงานที่ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นประจำในรูปแบบของระบบสนับสนุนการตัดสินใจ
โดยมีการทำงานที่ซับซ้อนเพิ่มมากขึ้นและมักใช้กับการตัดสินใจที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย
นอกจากนี้ยังมีการขยายตัวของการตัดสินใจใน
2ทิศทางคือ
ทิศทางที่
1 การพัฒนาระบบสนับสนุนผู้บริหารและระบบสารสนเทศวิสาหกิจ
ทิศทางที่
2 การพัฒนาระบบสนับสนุนกลุ่มร่วมงาน
ในที่สุดธุรกิจเกิดความสนใจด้านการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อแก้ปัญหาต่างๆ
อย่างมีอัจฉริยะโดยมีการพัฒนาระบบประยุกต์เชิงพาณิชย์ที่รู้จักกันดีในนามของระบบอัจฉริยะ
นวัตกรรมที่วิวัฒนาการมาจากระบบสารสนเทศที่ใช้สนับสนุนงาน
คือการพัฒนาโกดังข้อมูล
เป็นฐานข้อมูลที่ถูกออกแบบเฉพาะด้านสำหรับการสนับสนุนการตัดสินใจ
การสนับสนุนผู้บริหารและการวิเคราะห์อื่นๆ รวมทั้งกิจกรรมของผู้ใช้ขั้นปลาย
การใช้โกดังข้อมูล ถือเป็นส่วนหนึ่งระบบสารสนเทศด้านอัจฉริยะธุรกิจ
โดยมีการเก็บรวบรวมข้อมูลที่มีประโยชน์ในปริมาณมากสำหรับข้อคำถามหรือการวิเคราะห์โดยใช้ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ
ระบบสนับสนุนผู้บริหาร (อีเอสเอส) และระบบอัจฉริยะภาพ (ไอเอส)
ระบบสารสนเทศที่ใช้สนับสนุนงานในองค์การล่าสุด
คือ คอมพิวเตอร์เคลื่อนที่ถูกนำมาใช้สนับสนุนการทำงานของลูกจ้างเคลื่อนที่เพื่อการติดต่อประสานงานกับลูกค้าและหุ้นส่วนธุรกิจที่เป็นองค์การภายนอกธุรกิจ
ในลำดับสุดท้ายมีการพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการสนับสนุนงานภายนอกองค์การโดยใช้รูปแบบของระบบสารสนเทศบนเว็บรวมทั้งระบบเคลื่อนที่
โดยมีการพัฒนาระบบประยุกต์ผ่านทางระบบอินเตอร์เน็ตและเปลี่ยนรูปแบบการค้าเข้าสู่รูปแบบของธุรกิจสู่ธุรกิจซึ่งอนาคตจะมีความเป็นไปได้ว่า
องค์การขนาดกลางและระบบใหญ่จะใช้ระบบสารสนเทศบนเว็บ โดยมีการใช้โปรแกรมค้นดูเว็บ
เพื่อการสื่อสารความร่วมมือและการเข้าถึงสารสนเทศจำนวนมาก
รวมทั้งการดำเนินการและการประมวลผลด้วนวิธีการของระบบสารสนเทศบนเว็บ
สรุปได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างรูปแบบที่แตกต่างกันของระบบสนับสนุนด้านต่างๆมีดังนี้
1. แต่ละระบบมีลักษณะเฉพาะที่จำแนกได้เป็น 1 ระบบ
2. มีการเชื่อมต่อสายงานด้านสารสนเทศระหว่างระบบต่างๆ
3. ระบบสารสนเทศแต่ละระบบสามารถเชื่อมต่อกันภายใต้รูปแบบของระบบลูกผสม
4.
เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี ความสัมพันธ์และการประสานงาน
ระหว่างระบบสารสนเทศในรูปแบบที่ต่างกันโดยสามารถเกิดขึ้นได้อย่างต่อเนื่องและในอนาคต
รูปแบบความสัมพันธ์อาจเปลี่ยนแปลงไปก็อาจเป็นได้
การจำแนกประเภทระบบสารสนเทศ
1.ระบบสารสนเทศตามหน้าที่งาน เป็นการรองรับการทำงานของแผนกต่างๆ
ซึ่งจำแนกความรับผิดชอบตามหน้าที่งานขององค์การ อาทิเช่น
หน้าที่งานด้านการจัดการและการตัดสินใจ หน้าที่งานด้านการบริหารทรัพยากรมนุษย์
2. ระบบสารสนเทศวิสาหกิจ จะเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานของแต่ละแผนกงาน
ระบบสารสนเทศวิสาหกิจจะเกี่ยวข้องกับการเชื่อมต่อระบบประยุกต์ของแต่ละหน้าที่งานเข้ากับระบบสารสนเทศวิสาหกิจ
ซึ่งมักเรียกว่า การบูรณาการระบบสารสนเทศ
อีกทั้งยังมีการใช้ระบบประยุกต์ด้านการวางแผนทรัพยากรองค์การเป็นเครื่องมือช่วยสนับสนุนงานด้านการวางแผนและการจัดการทรัพยากรทั้งหมดของวิสาหกิจ
มีการใช้แบบจำลองรูปแบบใหม่ในส่วนของคอมพิวเตอร์วิสาหกิจ
ศุภิสราพร
สุธาทิพยะรัตน์จำแนกประเภทระบบสารสนเทศที่ใช้ภายในวิสาหกิจได้เป็น2ประเภทคือ
ประเภทที่ 1 ระบบสารสนเทศส่วนบุคคล คือ ระบบสารสนเทศที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพ
และเพิ่มผลผลิตด้านการทำงานของบุคคลในองค์การมักอยู่ในรูปแบบของการประมวลผลส่วนบุคคล
ประเภทที่ 2 ระบบสารสนเทศกลุ่มร่วมงาน คือ
ระบบสารสนเทศซึ่งช่วยเสริมประสิทธิภาพและเพิ่มผลผลิตด้านการทำงานของกลุ่มบุคคล
โดยมีเป้าหมายการทำงานและการใช้ข้อมูลร่วมกัน
มักจะอยู่ในรูปแบบการประมวลผลแบบกลุ่ม
นอกจากนี้ Turban et al. (2006, p.
296) ได้ยกตัวอย่างของระบบสารสนเทศที่ใช้ร่วมกันภายในวิสาหกิจดังนี้
1. ระบบสารสนเทศด้านการวางแผนทรัพยากรองค์การ
2. ระบบสารสนเทศด้านการจัดการลูกค้าสัมพันธ์
3. ระบบสารสนเทศด้านการสนับสนุนการตัดสินใจ
4. ระบบสารสนเทศด้านการจัดการความรู้
5. ระบบสารสนเทศด้านอัจฉริยะภาพทางธุรกิจ
6. ระบบสารสนเทศด้านอัจฉริยะอื่นๆ
3. ระบบสารสนเทศระหว่างองค์การปัจจุบันการใช้ระบบสารสนเทศไม่ได้จำกัดแค่ภายในองค์การเท่านั้นยังมีการเชื่อมต่อระบบสารสนเทศระหว่างสององค์การขึ้นไปเข้าด้วยกัน
นิยมเรียกกันว่า ระบบสารสนเทศระหว่างองค์การหรือโอไอเอส อาจเรียกอีกอย่างว่า
ระบบสารสนเทศครอบคลุมทั่วโลก เช่น
ระบบการจองตั๋วของสายการบินทั่วโลกมีวัตถุประสงค์หลักด้านการเพิ่มประสิทธิภาพของการประมวลผลธุรกรรมดังนั้นการพัฒนาโอไอเอสจึงมุ่งตอบสนองแรงกดดันทางธุรกิจ
2 ประการดังนี้
ประการที่ 1 ความปรารถนาด้านการลดต้นทุน
รวมทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพและความทันต่อเวลาภายใต้กระบวนการทางธุรกิจที่เกี่ยวข้อง
ประการที่ 2 ความต้องการเชื่อมต่อระบบสารสนเทศขององค์การกับระบบสารสนเทศของหุ้นส่วนธุรกิจเพื่อผลประโยชน์
ดังนี้
1. การลดต้นทุนธุรกรรมซึ่งเกิดขึ้นเป็นประจำ
2. การเพิ่มคุณภาพและขจัดข้อผิดพลาดของสายงานด้านสารสนเทศ
3. การลดช่วงเวลาของการทำคำสั่งซื้อของลูกค้าให้บรรลุผล
4. การกำจัดกระบวนการที่ใช้กระดาษทั้งในส่วนของการทำงานที่ขาดประสิทธิภาพ
ตลอดจนการลดต้นทุนกระดาษ
5 การโอนย้ายและการประมวลผลสารสนเทศทำได้ง่ายขึ้น
6. การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างองค์การกับลูกค้าและผู้จัดหา
ในการติดตั้งใช้งานไอโอเอส
จะต้องมีการสร้างเครือข่ายการสื่อสารโดยอาจเลือกใช้เครือข่ายส่วนตัว
ในรูปแบบของเครือข่ายมูลค่าเพิ่ม
หรือเครือข่ายสาธารณะในรูปแบบของเครือข่ายอินเทอร์เน็ตก็ได้
โดยการดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจของไอโอเอส มักปรากฏรูปแบบ 8รูปแบบดังนี้
รูปแบบที่ 1 ระบบการค้าธุรกิจสู่ธุรกิจ
รูปแบบที่ 2 ระบบสนับสนุนการค้าแบบธุรกิจสู่ธุรกิจ
รูปแบบที่ 3 ระบบครอบคลุมทั่วโลก
รูปแบบที่ 4 การโอนเงินอิเล็กทรอนิคส์
รูปแบบที่ 5 กรุ๊ปแวร์
รูปแบบที่ 6 การส่งสารแบบรวม
รูปแบบที่ 7 ฐานข้อมูลใช้ร่วมกัน
รูปแบบที่ 8 ระบบที่ใช้สนับสนุนบริษัทเสมือน
ในส่วนเทคโนโลยีสารสนเทศที่นำมาใช้สำหรับไอโอเอสจะประกอบด้วย 4 เทคโนโลยีหลัก คือ
การสับเปลี่ยนข้อมูลอิเล็กทรอนิคส์ เอกซ์ทราเน็ต
ภาษาเอกซ์เอ็มแอลและการบริการบนเว็บในส่วนการทำโอโอเอสให้เกิดผลจะมุ่งเน้นการแลกเปลี่ยนข้อมูลของระบบการค้าแบบธุรกิจสู่ธุรกิจเป็นสำคัญ
จำแนกได้เป็น 2 ระบบคือ
ระบบย่อยที่1 การจัดการหุ้นส่วนสัมพันธ์หรือพีอาร์เอ็ม
โดยมุ่งเน้นในการรับรู้ถึงความต้องการด้านการพัฒนาความสัมพันธ์ระยะยาวกับหุ้นส่วนธุรกิจ
ระบบย่อยที่ 2 การพาณิชย์แบบร่วมมือหรือ
ซีคอมเมิร์ช คือ รูปแบบหนึ่งของการร่วมมือขององค์การกับหุ้นส่วนธุรกิจในส่วนนอกเหนือจากการทำธุรกรรมซื้อขายสินค้าและบริการ
ระบบสารสารเทศบนเว็บ
1. ต้นทุนการติดตั้งใช้งานระบบสารสนเทศบนเว็บต่ำกว่าระบบรับให้บริการแบบเดิมโดยใช้เครือข่ายส่วนตัว
2. การแปลงระบบที่มีอยู่เดิมเป็นระบบสารสนเทศบนเว็บทำได้ง่ายและรวดเร็ว
3. ฟังก์ชันการทำงานของระบบสารสนเทศบนเว็บมีมากกว่าฟังก์ชันระบบเดิม
Turban et al (2006, p. 71) ให้นิยามไว้ว่า
ระบบสารสนเทศบนเว็บหมายถึง ระบบประยุกต์ซึ่งอาศัยอยู่บนเครื่องบริการหรือแม่ข่าย
ในส่วนของการเข้าถึงข้อมูลอาจทำได้โดยใช้โปรแกรมค้นดูเว็บจากสถานที่ใดๆ ของโลกทางเว็บ
ในการเชื่อมโยงด้านลูกข่ายกับระบบประยุกต์บนเว็บโดยใช้โพรโตคอมของอินเตอร์เน็ต
มีลักษณะเฉพาะ 2ประการ คือ ประการที่ 1 คือ การสร้างเนื้อหาหรือข้อมูลจะถูกปรับให้เป็นปัจจุบันในทันที ประการที่
2 คือ การเข้าถึงข้อมูลบนเว็บด้วยวิธีการสากลที่อาศัยการสื่อสารหลัก
คือ อินเตอร์เน็ต อินทราเน็ต และเอกซ์ทราเน็ตโดยมีรายละเอียดดังนี้
1.อินเทอร์เน็ต เรียกง่ายๆว่าเน็ต
คือระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายทั่วโลก โดยผู้ใช้ที่อยู่ ณ
คอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งๆ สามารถรับสารสนเทศจากคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นได้ หรือในบางครั้งก็อาจคุยโต้ตอบโดยตรงกับผู้ใช้คอมพิวเตอร์เครื่องอื่นผ่านทางอินเตอร์เน็ตซึ่งถือเป็นเครือข่ายสาธารณะที่ใช้งานร่วมกันของผู้ใช้งานหลายคน
ในทางกายภาพ อินเตอร์เน็ต
ถูกนำมาใช้เป็นส่วนหนึ่งของทรัพยากรทั้งหมดของเครือข่ายโทรคมนาคมสาธารณะที่มีอยู่ปัจจุบัน
ในทางเทคนิคสิ่งที่แบ่งแยกอินเตอร์เน็ตกับระบบเครือข่ายอื่นคือ
การใช้ชุดโพรโทคอลทีซีพี/ไอพี
2.อินทราเน็ต จะมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดกับองค์การและอินเทอร์เน็ต
ซึ่งอินทราเน็ต คือ การใช้เทคโนโลยีเว็บสำหรับการสร้างเครือข่ายส่วนตัว มักถูกจำกัดใช้งานเฉพาะภายในองค์การโดยใช้เครือข่ายเฉพาะที่หรือระบบแลน
ร่วมกับโพรโทคอลทีซีพี/ไอพี เพื่อสร้างแบบฉบับของระบบแลนที่มีความสมบูรณ์
ในส่วนของการใช้เกตเวย์ด้านความมั่นคง อินทราเน็ตจะถูกใช้งานในหลากหลายหน้าที่ทางธุรกิจ
สนับสนุนงานด้านการกระจายสารสนเทศที่หลากหลายรูปแบบภายในองค์การ
สามารถใช้ปฏิบัติกิจกรรมของกลุ่มร่วมงานและการแบ่งโครงการที่ถูกกระจายอยู่ภายในองค์การ
3.เว็บศูนย์รวมวิสาหกิจ คือ เว็บไซต์ที่ติดตั้งเกตเวย์
เพื่อใช้ควบคุมการเข้าถึงสรสนเทศของบริษัทจากจุดเพียงจุดเดียว
มีการรวมตัวกันจากสารสนเทศจากหลายๆ แฟ้มข้อมูลและส่งผ่านสารสนเทศไปยังผู้ใช้
4. เอกซ์ทราเน็ต ถูกเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต
มีการเสริมกลไลด้านความมั่นคงทางอินเทอร์เน็ตและฟังก์ชันงานเท่าที่เป็นไปได้
มีการสร้างรูปแบบเสมือนจริงซึ่งอนุญาตให้ผู้ใช้ทางไกลสามารถเชื่อมต่อระบบอินเทอร์เน็ตกับอินทราเน็ตหลักขององค์การ
ซอฟว์แวร์ที่ใช้เข้าถึงข้อมูลทางไกลจะมีการพิสูจน์ตัวจริงและข้อมูลจะถูกเข้ารหัสลับขณะที่มีการส่งผ่านผู้ใช้ทางไกลเข้าสู่อินทราเน็ตจะมุ่งเน้นในด้านการใช้สารสนเทศร่วมกันระหว่างสององค์การขึ้นไปตามสมัยนิยม
5. ระบบอีคอมเมิร์ชบนเว็บ เกิดขึ้นภายใต้ระบบอิเลกทรอนิคส์
ในรูปแบบของธุรกิจสู่ธุรกิจ ธุรกิจสู่ผู้บริโภค ผู้บริโภคสู่ผู้บริโภค
ธุรกิจสู่หน่วยสาธารณะส่วนใหญ่จะคิดว่าอีคอมเมิร์ชมีไว้สำหรับลุกค้าเข้าเยี่ยมชมเพื่อซื้อสินค้าออนไลน์
ภาพส่วนใหญ่ของอีคอมเมิร์ชซึ่งเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว คือ การประกอบธุรกรรมในรูปแบบธุรกิจสู่ธุรกิจผู้บริโภคซึ่งทำการซื้อสินค้าออนไลน์มักชื่นชมอีคอมเมิร์ชซึ่งใช้งานได้ง่ายและสามารถหลีกเลี่ยงฝูงชนภายในห้างสรรพสินค้า
โดยทำการสั่งซื้ออนไลน์ ณ เวลาใดจากสถานที่ใดก็ได้
อีกทั้งมีการส่งมอบสินค้าถึงมือผู้รับโดยตรง การประกอบธุรกิจอีคอมเมิร์ชได้เพิ่มความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
โดยลูกค้าบางรายจะสามารถสั่งซื้อสินค้าทางอินเทอร์เน็ตและได้รับสินค้าในวันเวลาที่ร้าค้าทั่วไปปิดทำการในส่วนกระบวนการทางธุรกิจอีคอมเมิร์ชต้องออกแบบใหม่ให้เป็นวิธีซื้อขายที่กระชับขึ้น
6. ตลาดอิเกทรอนิคส์ ได้มีการแพร่กระจายอย่างรวดเร็วในฐานะตัวขับเคลื่อนด้านการประกอบธุรกิจทางอีคอมเมิร์ช
ซึ่ง Turban et al (2006, p. 71)
ให้นิยามไว้ว่า ตลาดอิเลกทรอนิคส์ คือ
เครือข่ายการโต้ตอบและความสัมพันธ์ในการแลกเปลี่ยนสารสนเทศ ผลิตภัณฑ์และบริการ
ตลอดจนการรับชำระเงิน เมื่อสถานที่ซื้อขายถูกเปลี่ยนรูปแบบจากอาคารทางกายภาพเป็นเว็บไซอิเลกทรอนิคส์
7. การแลกเปลี่ยนอิเลกทรอนิคส์ เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของตลาดอิเลกทรอนิคส์ คือ
สถานที่ซื้อขายบนเว็บซึ่งผู้ซื้อและผู้ขายจำนวนมากมีการโต้ตอบกันแบบพลวัตและยังเป็นสถานที่ประกอบการค้าสำหรับโภคภัณฑ์
นับตั้งแต่นั้นมาการแลกเปลี่ยนที่หลากหลายรูปแบบสำหรับสินค้าและบริการทุกชนิด
8. คอมพิวเตอร์เคลื่อนที่และการพาณิชย์เคลื่อนที่ คือ ตัวอย่างระบบเคลื่อนที่ออกแบบสำหรับลูกจ้างเคลื่อนที่และอื่นๆ
ซึ่งผู้ใช้ระบบมักเกิดความต้องการด้านการเชื่อมต่อเข้ากับระบบสารสนเทศขององค์การในทันที
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น